ถาม – ตอบ ทางด้านการวิจัย
*********************
ความรู้ความสามารถด้านการบริหารงานวิจัย
1. จงอธิบายความหมายของการบริหารงานวิจัย
ตอบ คำว่าการบริหาร (management) หมายถึง การดำเนินการใดๆ เพื่อให้ระบบที่ดำเนินการอยู่นั้น สามารถให้ผลอันเป็นเป้าหมายของระบบ หรือบรรลุซึ่งวัตถุประสงค์ของระบบนั้น ด้วยเหตุนี้ การบริหารการวิจัยจึงหมายถึง การดำเนินการต่างๆ เพื่อให้การวิจัยสามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้ อย่างไรก็ตาม ความหมายของการบริหารการวิจัยได้ขยายขอบเขตที่กว้างขึ้น กล่าวคือ หมายรวมถึงการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้มีการผลิตหรือสร้างสรรค์การวิจัย การวางแผนการวิจัย การติดตามและควบคุมดูแลการวิจัยให้ดำเนินไปตามแผน การเผยแพร่และใช้ผลงานวิจัย ดังที่ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ (2550: online) ได้กำหนดความหมายของการบริหารการวิจัยไว้ว่า การบริหารการวิจัย หมายถึง การจัดการงานวิจัยให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เช่น การพิจารณาข้อเสนอการวิจัย การติดตามประเมินผล การประชุมสัมมนาหรือฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการวิจัย การพัฒนาระบบสารสนเทศการวิจัย การเผยแพร่ผลงานวิจัยและกิจกรรม อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. เพราะเหตุใดจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการบริหารการวิจัย
ตอบ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องมีการบริหารการวิจัยนั้น เนื่องจากการขยายตัวของการสนับสนุนให้มีการวิจัย ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเภท หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้สนับสนุนให้หน่วยงานหรือนักวิจัยผลิตงานวิจัยเพื่อรอบรับกับการพัฒนา ทั้งที่เป็นการวิจัยในระดับนโยบาย รวมถึงการวิจัยเพื่อพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมต่างๆ เมื่อความต้องการในการใช้ผลวิจัยอยู่ในระดับสูง ย่อมเป็นเหตุให้หน่วยงานต่างๆ จำเป็นจะต้องขับเคลื่อนให้มีการวิจัยมากยิ่งขึ้นไปด้วย และเมื่อการวิจัยมีจำนวนมาก และนักวิจัยรุ่นใหม่ก็เกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นที่หน่วยงานด้านการวิจัย จะต้องมีระบบสำหรับบริหารและจัดการให้การวิจัยในสามารถเกิดขึ้นและดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังจะสังเกตได้จากมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจหลักในการผลิตและสร้างผลงานวิจัยเพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ ได้จัดตั้งฝ่ายวิจัยหรือสถาบันวิจัย เพื่อทำหน้าที่หลักโดยตรงในการจัดการกับ การวิจัยที่จะเกิดขึ้นในสถาบัน ซึ่งฝ่ายวิจัยหรือสถาบันเหล่านี้ จะมีคณะกรรมการฝ่ายวิจัยหรือคณะกรรมการบริหารงานวิจัย เป็นผู้ควบคุมและบริหารงานวิจัยของสถาบันทั้งระบบ
3. สาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องมีการบริหารงานวิจัย มีอะไรบ้าง
ตอบ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องมีการบริหารงานวิจัยสรุปได้ 5 ประเด็นปัญหา ดังนี้
1) ปัญหาการคิดริเริ่มในการทำวิจัย ปัญหานี้เกิดจากนักวิจัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์หรือบุคลากรรุ่นใหม่ ประสบปัญหาในการหาหัวข้อหรือประเด็นการวิจัย ซึ่งอาจจะเกิดจากการขาดความรู้และประสบการณ์ หน่วยงานบริหารการวิจัยจึงจะต้องจัดที่ปรึกษาวิจัยไว้สำหรับให้คณาจารย์และนักวิจัยได้ขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องของวิธีวิทยาการวิจัย สถิติการวิจัย เป็นต้น
2) ปัญหาการทำวิจัยไม่เสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ปัญหานี้เกิดจากการที่ได้มีการอนุมัติให้มีการทำวิจัยไปแล้ว แต่เนื่องจากนักวิจัยไม่สามารถที่จะดำเนินการวิจัยได้ทันกับกำหนดเวลา หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารงานวิจัยจึงจะต้องจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้งานวิจัยเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้การติดตามและประเมินผลเป็นระยะ ก่อนที่จะได้มีการอนุมัติทุนสนับสนุนการวิจัยในรอบต่อไป
3) ปัญหาการเขียนรายงานการวิจัย การเขียนรายงานผลการวิจัย เป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัย เพราะเป็นการแสดงคุณภาพของงานวิจัยในระดับอุดมศึกษา ซึ่งหน่วยงานบริหารการวิจัยจะต้องมีหน้าที่ในการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างทักษะการเขียนรายงานการวิจัย โดยจัดเป็นโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ
4) ปัญหาขาดการวิพากษ์เพื่อประเมินคุณภาพผลงานวิจัย ปัญหานี้เกิดจากการที่ผลงานวิจัยที่ได้ดำเนินการวิจัยเสร็จสิ้นตามกระบวนการแล้ว ไม่ได้รับการวิพากษ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ จึงเป็นเหตุให้ผลการวิจัยที่จัดทำขึ้นขาดการประเมินคุณภาพงานวิจัยผลงานวิจัยจึงไม่ได้รับการยอมรับ และจะมีผลอย่างมากต่อการเผยแพร่ต่อไป ดังนั้นในการบริหารจัดการวิจัย จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารการวิจัยจะต้องจัดให้มีการวิพากษ์หรือการตรวจสอบคุณภาพของการวิจัยนั้น โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับสาขาของการวิจัย
5) ปัญหาการเผยแพร่งานวิจัย ปัญหานี้มักเกิดจากเมื่อดำเนินการวิจัยเสร็จแล้ว นักวิจัยมิได้เผยแพร่งานวิจัยด้วยการนำไปเสนอในที่ประชุมวิชาการ หรือมิได้เขียนบทความวิจัยเพื่อเผยแพร่ ด้วยเหตุนี้สาบันที่ทำหน้าที่บริหารการวิจัย มักจะมีการส่งเสริมทั้งในรูปแบบของการให้เงินสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัย การจัดให้มีการประชุมวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งให้นักวิจัยได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานวิจัย หรือการจัดพิมพ์วารสาร หรือการใช้พื้นที่เว็บไซต์ในการเผยแพร่ผลงานวิจัย เป็นต้น
ปัญหาต่างๆ ดังที่กล่าวมา ล้วนแต่ต้องอาศัยกลไกของการบริหารการวิจัยในการ เข้ามาดำเนินการทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ปัญหาดังกล่าวแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่ ก่อนการวิจัย ขณะดำเนินการวิจัย และหลังจากที่ได้ดำเนินการวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ ขอบเขตหรือภาระงานของการบริหารการวิจัย จึงอาจแบ่งได้ตามระยะหรือขั้นตอนสำคัญในการวิจัยเป็น 3 ระยะได้แก่ 1) ระยะการบริหารก่อนการวิจัย 2) ระยะการบริหารระหว่างการวิจัย และ 3) ระยะการบริหารหลังการวิจัย ซึ่งในแต่ละระยะฝ่ายสนับสนุนจะต้องเข้าไปดำเนินการ เพื่อให้การวิจัยผ่านอุปสรรคและดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ โดยจะได้กล่าวถึงขอบเขตหรือภาระงานสำคัญในแต่ละระยะเป็นลำดับต่อไป
4. งานการบริหารการวิจัยออกเป็นกี่ระยะ อะไรบ้าง
ตอบ 3 ระยะ ซึ่งมีภาระงานสำคัญ ดังนี้คือ
1. การบริหารการวิจัยก่อนการดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย
1.1 การประกาศเชิญชวนให้ทำวิจัย
1.2 การอบรมหรือการให้ความรู้เกี่ยวกับการวิจัย
1.3 การพิจารณาหัวข้อการวิจัยและโครงร่างการวิจัยโดยคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ
1.4 การให้ข้อเสนอแนะแก่โครงร่างการวิจัย
1.5 การประกาศอนุมัติหัวข้อวิจัยและการทำสัญญา
2. การบริหารการวิจัยระหว่างการดำเนินการวิจัย
2.1 การมอบเงินอุดหนุนการวิจัย
2.2 การกำกับ ดูแล ติดตามและประเมินการดำเนินการวิจัย
2.3 การวางแผนดำเนินการวิจัย
2.4 การจัดทำบัญชีและหลักการการใช้จ่ายเงินอุดหนุนการวิจัย
2.5 การให้คำปรึกษาหรือความช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย
3. การบริหารการวิจัยหลังการดำเนินการวิจัย
3.1 การนำเสนอผลงานวิจัยแก่คณะกรรมบริหารการวิจัย
3.2 การประเมินคุณภาพของรายงานวิจัย
3.3 การเผยแพร่ผลงานวิจัย
3.3.1 การประชุมทางวิชาการ
3.3.2 การตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการหรือเว็บไซต์
3.4 การจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร
3.5 การกำกับและนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์
5. ลักษณะที่สำคัญของจุดมุ่งหมายของการวิจัย มีอะไรบ้าง
ตอบ จุดมุ่งหมายของการวิจัยมีลักษณะที่สาคัญ ดังนี้
1 เป้าหมายของการวิจัย คือ มุ่งหาคาตอบเพื่อนามาใช้แก้ปัญหา โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่มีความเป็นเหตุและเป็นผลซึ่งกันและกันอย่างชัดเจน
2. การวิจัยเป็นการสรุปผล หลักเกณฑ์ และทฤษฏีที่ใช้ในการคาดคะเนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเป็นการศึกษาข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเพื่อที่นาผลสรุปอ้างอิงไปสู่ประชากร
3 การวิจัยเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล หรือปรากฏการณ์ที่สังเกตได้มาใช้ในการสรุปผล
โดยที่ปัญหาในบางปัญหาไม่สามารถทาการวิจัยได้เนื่องจากไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้
6. ผู้วิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้องจาเป็นจะต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานของการวิจัยอย่างไร
ตอบ ในการวิจัยใด ๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย พยากรณ์ หรือควบคุมปรากฏการณ์โดยใช้วิธีการทางสถิติเพื่อให้เกิดผลสรุปที่ถูกต้อง ชัดเจน ในการทาความเข้าใจที่สอดคล้องกันและเกิดความเชื่อมั่น ดังนั้นผู้วิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้องจาเป็นจะต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานของการวิจัย ดังนี้
1. กฎเหตุและผลของธรรมชาติ (Deterministic Law of Nature) เป็นแนวคิดที่ระบุว่า ปรากฏการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นจะสามารถแสวงหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นั้นได้เสมอ ๆ หรือเมื่อกำหนดสถานการณ์ใด ๆ ที่เป็นสาเหตุย่อมจะหาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน
2. กฎความเป็นระบบของธรรมชาติ(Systematic Law of Nature) เป็นแนวคิดที่ระบุว่าปรากฏการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นตามกฎของเหตุและผลของธรรมชาติจะมีรูปแบบของความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ค่อนข้างจะชัดเจน อาทิ Y = f(x) หรือ y = ax+b เป็นต้น เพื่อที่ผู้วิจัยจะได้นารูปแบบดังกล่าวไปใช้อธิบายในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทั่ว ๆ ไปได้
3..กฎความสัมพันธ์ของธรรมชาติ(Associative Law of Nature)เป็นแนวคิดที่ระบุว่าในการเกิดปรากฏการณ์ใด ๆ ที่แตกต่างกันนั้น จะมีความมากน้อยของตัวแปรที่เป็นสาเหตุและตัวแปรผลที่แตกต่างกัน
4. กฎองค์ประกอบหลักของธรรมชาติ(Principle Component of Nature) เป็นแนวคิดที่ระบุว่าตัวแปรสาเหตุ และตัวแปรผลที่เกิดขึ้นนั้น ๆ ไม่ได้เป็นความสัมพันธ์เชิงเดี่ยว แต่จะมีตัวแปรอื่น ๆ (ตัวแปรแทรกซ้อน/สอดแทรก) ที่มักจะมาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ๆ
5. กฎความน่าจะเป็นของธรรมชาติ(Probabilistic Law of Nature) เป็นแนวคิดที่ระบุว่าในปรากฏการณ์ ใด ๆ นั้น ความรู้ความจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จะเป็นผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ที่มีความน่าจะเป็นในการเกิดขึ้นที่ค่อนข้างสูง
ระเบียบวิธีวิจัย
7. ระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) หมายถึง
ตอบ ระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) หมายถึง ปรัชญาของกระบวนการทำวิจัย (philosophy of research process) ซึ่งกินความถึงฐานคติ (assumptions) และระบบคุณค่า (values) ที่นำมาใช้ในการทำวิจัย ตลอดถึงเกณฑ์หรือแนวคิดที่นักวิจัยนำมาใช้ในการคิดรวมข้อมูลที่เก็บได้เพื่อหาข้อสรุป เพราะฉะนั้นระเบียบวิธีจึงกำหนดขึ้นจากคำถามการวิจัยที่นักวิจัยต้องการศึกษานั่นเอง
8. การวิจัย หมายถึงอะไร
ตอบ กระบวนการแสวงหาความรู้ใหม่ หรือกระบวนการ ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่มีคุณ ค่าโดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ •สังเกต เห็นปัญหา นิยามปัญหา •กำหนดสมมุติฐาน •ตรวจสอบสมมุติฐาน (เก็บข้อมูล) •วิเคราะห์ข้อมูล •สรุปผล
9. การวิจัยมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ การวิจัยแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้คือ
แบ่งตามวิธีการวิจัย
การวิจัยแบบสำรวจ (SURVEY R.)
การวิจัยแบบบรรยาย (DESCRIPTIVE R.)
การวิจัยแบบทดลอง (EXPERIMENTAL R.)
การวิจัยแบบสหสัมพันธ์(CORRELATIONAl R.)
การวิจัยแบบประเมิน (EVALUATIVE R.)
การวิจัยและพัฒนา (R. & DEVELOPMENT)
การวิจัยรายกรณี (CASE STUDY R.)
การวิจัยเอกสาร (DOCUMENTARY R.)
การวิจัยประวัติศาสตร์ (HISTORICAL R.)
แบ่งตามจุดมุ่งหมาย
การวิจัยบริสุทธิ์ (PURE RESEARCH)
การวิจัยประยุกต์ (APPLIED RESEARCH)
แบ่งตามลักษณะข้อมูล
การวิจัยเชิงปริมาณ (QUANTITATIVE R.)
การวิจัยเชิงคุณภาพ (QUALITATIVE R.)
แบ่งตามประเภทข้อมูล
การวิจัยเอกสาร (DOCUMENTARY R.)
การวิจัยเชิงประจักษ์ (EMPIRICAL R.)
10. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ เอกสารอ้างอิงทั่วไป
- ดรรชนีวารสาร รายการเอกสาร
- บทคัดย่องานวิจัย บทคัดย่อวิทยานิพนธ์
เอกสารปฐมภูมิ
- บทความวิชาการ
- รายงานวิจัย เอกสารวิจัย วิทยานิพนธ์
เอกสารทุติยภูมิ
- หนังสือ ตำรา หนังสือพิมพ์
- พจนานุกรม สารานุกรม
- รายงานปริทัศน์งานวิจัย คู่มือ รายงานประจำปี
11. ขั้นตอนในการจัดทำรายงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ตอบ 1. กำหนดวัตถุประสงค์
2. เสาะค้น คัดเลือกเอกสาร
3. ปริทัศน์ (REVIEW) เอกสาร
4. จดบันทึกสารสนเทศ
5. สังเคราะห์สารสนเทศ
6. เขียนรายงาน
12. ข้อบกพร่องเกี่ยวกับการสืบค้น มีอะไรบ้าง
ตอบ ความทันสมัยของเอกสาร/แหล่งค้น
ประเภทของเอกสารที่อ้างอิง
ข้อบกพร่องเกี่ยวกับวิธีการอ้างอิง
ประเภทของแหล่งค้น/แหล่งอ้างอิง
การอ้างอิงโดยไม่ได้เรียบเรียงภาษาใหม่ (paraphrase)
การอ้างอิงไม่ตรงตามต้นฉบับ
การอ้างอิงแบบตัดต่อความคิด
13. ระเบียบวิธีการวิจัยหรือวิธีการวิจัย (Research methodology) แบ่งออกเป็นกี่กลุ่ม อะไรบ้าง
ตอบ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงวิตรรก (Rational research methodology) และระเบียบวิธีวิจัยเชิงประจักษ์ (Empirical research methodology) ซึ่งกล่าวถึงรายละเอียดได้ดังนี้
ระเบียบวิธีวิจัยเชิงวิตรรก
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระเบียบวิธีวิจัยเชิงเหตุผล ได้รับอิทธิพลจากสำนักคิดทางญาณวิทยาเหตุผลนิยม (Rationalism) ดังนั้นในการวิจัยจึงมีลักษณะเป็นการคิดที่ใช้เหตุผลสรุปโดยอาศัยการนิรนัย (Deductive) ความรู้ที่ได้จึงไม่ใช่ความจริงที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ตัวอย่างความรู้ความจริงที่ได้จากระเบียบวิธีวิจัยประเภทนี้ได้แก่ ปรัชญา ตรรกศาสตร์ เรขาคณิต และคณิตศาสตร์ เป็นต้น
ระเบียบวิธีวิจัยเชิงประจักษ์
เป็นระเบียบวิธีวิจัยที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสำนักคิดทางญาณวิทยาประจักษนิยม (Empiricism) ดังนั้นในการวิจัยจึงมุ่งค้นหาความจริงโดยใช้ประสบการณ์ที่ผ่านประสบการณ์ที่ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ ในระเบียบวิธีวิจัยประเภทนี้จึงมักเริ่มต้นด้วยการสังเกต สัมผัสปรากฏการณ์ในธรรมชาติอย่างบ่อยครั้งแล้วอาศัยการสรุปแบบอุปนัย (Inductive) ตัวอย่างความรู้ความจริงที่ได้จากระเบียบวิธีวิจัยประเภทนี้ ได้แก่ ความรู้ความจริงที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ในธรรมชาติทั้งหมด
แต่อย่างไรก็ตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงประจักษ์ยังแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อย คือ กลุ่มปฏิฐานนิยม (Positivism) และกลุ่มปรากฏการณ์นิยม (Phenomenologism) รายละเอียดดังนี้
กลุ่มปฏิฐานนิยม (Positivism) มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โดยเน้นศึกษาปรากฏการณ์ที่เป็นวัตถุสสารที่สามารถสัมผัสจับต้อง แจงนับ วัดค่าได้ คือมีความเป็นปรนัย (Objectivity) และเชื่อว่าปรากฏการณ์ในธรรมชาติที่มุ่งศึกษานั้นเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอไม่แปรเปลี่ยนง่าย ๆ นักวิจัยมีหน้าที่ค้นหาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอซึ่งเรียนว่า กฎธรรมชาติ (Natural law) เพื่อที่จะใช้ความรู้ความจริงจากกฎที่ค้นพบนี้ไปควบคุมปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติให้เกิดหรือไม่เกิดตามที่ต้องการ ความเชื่อของกลุ่มปฏิฐานนิยมนี้เป็นบ่อเกิดของระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research methodology) ซึ่งนับเป็นกระแสหลัก (Main stream) ที่ใช้ศึกษาปรากฏการณ์ในธรรมชาติ
กลุ่มปรากฏการณ์นิยม (Phenomenologism) ในกลุ่มนี้มีพื้นฐานความเชื่อเกี่ยวกับการมองและศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งเป็นเรื่องของมนุษย์แตกต่างไปจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ โดยที่มีความเชื่อว่า ปรากฏการณ์ทางสังคมนั้นมีลักษณะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงหรือมีความเป็นพลวัต (Dynamic) สูงมาก ด้วยเหตุนี้ การที่จะทำการศึกษาให้ได้ความรู้ความจริง และเข้าใจถึงปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างแท้จริงจึงไม่สามารถกระทำได้ด้วยการแจงนับ วัดค่าเป็นตัวเลข หากแต่ต้องเข้าใจถึงความหมายและคุณค่า วัฒนธรรมของกลุ่มคนดังกล่าวเสียก่อน จากพื้นฐานความเชื่อเช่นนี้จึงทำให้เกิดระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research methodology) ซึ่งระเบียบวิธีวิจัยนี้เป็นที่ยอมรับที่จะนำมาศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
14. การวิจัยมีกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ การจำแนกประเภทของการวิจัยสามารถจัดทำได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับผู้จำแนกว่าจะอาศัยเกณฑ์หรือหลักการใดในการจำแนก ซึ่งแนวทางในการจัดจำแนกตามเกณฑ์ต่างๆ มีดังนี้
1. ประเภทของการวิจัยแบ่งตามประโยชน์ของการนำผลไปใช้ แบ่งตามเกณฑ์นี้จะมี 3 ประเภท ได้แก่
1.1 การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์ (basic or pure research) การวิจัยแบบนี้เป็นการทำวิจัยเพื่อขยายขอบเขตของความรู้ให้กว้างขวางออกไป เป็นการสร้างทฤษฎีและแนวความคิดใหม่ๆ เสริมสร้างวิชาการให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น การวิเคราะห์มุ่งหาสารอาหารในกล้วย โดยมุ่งหาว่ากล้วยประกอบด้วยสารอาหารอะไรบ้างเท่านั้น การวิจัยแบบนี้ มักจะใช้เวลานาน และใช้ประโยชน์ได้ต่อเมื่อไปวิจัยต่อ
1.2 การวิจัยประยุกต์ (applied research) การวิจัยแบบนี้มุ่งนำผลไปใช้เพื่อปรับปรุงสภาพของสังคมและความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ดีขึ้น เช่น จากผลการวิจัยพื้นฐานพบว่า การสอนด้วยวิธีการใช้สไลด์ประกอบจะทำให้นักเรียนสนใจการเรียนและจำได้นาน ครูก็ลองนำผลการวิจัยนี้ไปทดลองและหาประสิทธิภาพของการสอนดูว่าทำให้นักเรียนสนใจมากขึ้น และนักเรียนจำเรื่องราวที่สอนได้นานจริงหรือไม่ ถ้าปรากฏว่ามีประสิทธิภาพก็จะทำให้ครูนำไปใช้ในการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียนต่อไป
1.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) การวิจัยแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะใหม่ๆ หรือวิธีการใหม่ๆ และนำมาใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานโดยตรง เป็นการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ในการทำงาน โดยหวังที่จะปรับปรุง แก้ไขสภาพการทำงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม การวิจัยแบบนี้แท้จริงเป็นการวิจัยประยุกต์ลักษณะหนึ่ง แต่ต่างกับการวิจัยประยุกต์ทั่วไปตรงที่การวิจัยเชิงปฏิบัติการจะศึกษาเฉพาะที่ เฉพาะหน่วยงาน ผลการวิจัยนำไปใช้สรุปอ้างอิงไปยังกลุ่มอื่นหรือ ประชากรไม่ได้
2. ประเภทของการวิจัย แบ่งตามวัตถุประสงค์และวิธีการเสนอข้อมูล การวิจัยที่แบ่งตามเกณฑ์นี้อาจแบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ
2.1 การวิจัยขั้นสำรวจ (exploratory research) เป็นการวิจัยที่ต้องการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้น เพื่อหาข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นเท่านั้น ไม่มีการตั้งสมมติฐาน และไม่มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลในลักษณะตัวแปรที่แตกต่างกัน
2.2 การวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) เป็นการวิจัยที่ต้องการหาคำตอบว่าอะไรและอย่างไรมากกว่าที่ต้องการหาคำตอบว่าทำไม รวมทั้งไม่มีการคาดคะเนปรากฏการณ์ในอนาคตแต่อย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลอาจจะมีการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่ศึกษาด้วย
2.3 การวิจัยเชิงอรรถาธิบาย (explanatory research) เป็นการวิจัยที่พยายามชี้หรืออธิบายให้เห็นว่าตัวแปรใดมีความสัมพันธ์ หรือเกี่ยวข้องกับตัวแปรใดบ้าง และความสัมพันธ์นั้นมีลักษณะอย่างไร เป็นเหตุผลของกันและกันหรือไม่
2.4 การวิจัยเชิงคาดคะเน (predictive research) เป็นการวิจัยที่พยายามชี้ให้เห็นหรือคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา
2.5 การวิจัยเชิงวินิจฉัย (diagnostic research) เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น จะได้นำไปแก้ไขป้องกันได้ถูกต้อง
3. ประเภทของการวิจัย แบ่งตามความสามารถในการควบคุมตัวแปร การวิจัยที่แบ่งตามเกณฑ์นี้อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
3.1 การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยจัดสร้างสถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาทดลอง โดยพยายามควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ต้องการให้มีผลกับการวิจัยนั้นออกไป แล้วสังเกตหรือวัดผลการทดลองออกมา
3.2 การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (quasi experimental research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยสามารถสร้างสถานการณ์ และเงื่อนไขเพื่อใช้ในการทดลองได้บ้างเป็นบางประเด็นและสามารถควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ต้องการให้มีผลกับการวิจัยนั้นได้เพียงบางตัวเนื่องจากไม่สามารถสุ่มตัวอย่างให้เท่ากันได้
3.3 การวิจัยเชิงธรรมชาติ (naturalistic research) เป็นการวิจัยที่ไม่มีการจัดสร้างสถานการณ์หรือเงื่อนไขใดๆ เลย ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ผู้วิจัยไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อการวิจัยที่ได้นั้นเลย
4. ประเภทของการวิจัยแบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัย การวิจัยที่แบ่งตามเกณฑ์นี้จะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
4.1 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (historical research) เป็นการวิจัยที่ใช้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ในลักษณะของการศึกษาหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เพื่อสืบประวัติความเป็นมาเชิงวิชาการในสาขาวิชาการต่างๆ ทำความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น และหาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน เพื่อใช้ทำนายเหตุการณ์ในอนาคต
4.2 การวิจัยเชิงบรรยาย (descriptive research) เป็นการวิจัยที่ใช้ระเบียบวิธีการบรรยายปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร ซึ่งมุ่งศึกษาหาข้อเท็จจริงและสถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนั้น รวมทั้งศึกษาหาความสัมพันธ์ของการปฏิบัติ แนวคิดหรือเจตคติโดยเน้นถึงเรื่องราวในปัจจุบันเป็นสำคัญ
4.3 การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) เป็นการศึกษาหาข้อเท็จจริงด้วยการทดลองภายใต้การควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้องอย่างมีระเบียบแบบแผนและมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนและสามารถกระทำซ้ำเพื่อพิสูจน์หรือทดสอบผลอีกได้
5. ประเภทของการวิจัย แบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัยทั่วไป การวิจัยอาจแบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัยทั่วๆ ไป ซึ่งแบ่งเป็น 6 ประเภท ดังนี้
5.1 การวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)
5.2 การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ (historical research)
5.3 การวิจัยเชิงย้อนรอย (expost facto research) เป็นการวิจัยที่ศึกษาจากผลไปหาเหตุ ซึ่งทั้งผลและเหตุเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว วิธีการศึกษาจะเริ่มจากกำหนดผลหรือตัวแปรตามก่อนแล้วค่อยค้นหาสาเหตุ ซึ่งเป็นตัวแปรอิสระที่ทำให้เกิดผล ตัวแปรตามนั้น เช่น การศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการไปประกอบอาชีพในประเทศตะวันออกกลางของชายไทย ผลที่เกิดขึ้นก็คือการไปประกอบอาชีพในประเทศตะวันออกกลางของชายไทย ซึ่งเดินทางไปแล้ว จากนั้นตามไปศึกษาว่าทำไมเขาจึงต้องเดินทางไปทำงานยังประเทศตะวันออกกลาง มีเหตุหรือมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขาไป
5.4 การวิจัยเชิงสำรวจ (survey research) เป็นการศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่มีอยู่ว่าเป็นอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้างแล้วบรรยายสถานภาพที่ปรากฏอยู่ มีอยู่นั้นให้ทราบและอาจจะเปรียบเทียบกับสถานภาพที่มีอยู่ ปรากฏอยู่ในลักษณะต่างๆ หรือเงื่อนไขต่างกันและจะเปรียบเทียบกับสถานภาพที่เป็นมาตรฐานก็ได้ โดยไม่สนใจว่า ทำไมจึงมีสถานภาพปรากฏอยู่ มีอยู่อย่างนั้น
5.5 การวิจัยเชิงชาติพันธุ์วรรณา (ethnographic research) เป็นการวิจัยที่มุ่งอธิบายสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรวมๆ ว่ามีความเป็นมาและพัฒนาการไปอย่างไร มีลักษณะคล้ายกับการวิจัยเชิงคุณลักษณะดังกล่าวแล้ว
5.6 การวิจัยเชิงประเมินผล (evaluative research) เป็นการวิจัยที่มุ่งพิจารณากำหนดคุณค่าหรือระดับความสำเร็จของกิจกรรม และเสนอแนะสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่อไป ปกติการวิจัยเชิงประเมินผลจะมุ่งหาคำตอบของปัญหาหลัก 3 ประการ คือ
5.6.1 โครงการนั้นประสบผลสำเร็จเพียงใด
5.6.2 โครงการนั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด
5.6.3 กิจกรรมที่ทำตามโครงการนั้นควรจะทำต่อไปหรือไม่
6 ประเภทของการวิจัยแบ่งตามลักษณะของข้อมูล แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
6.1 การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) หมายถึงการวิจัยที่เน้น (ก) ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบและข้อสรุปต่างๆ ของเรื่องที่ทำการศึกษา และ (ข) ความใช้ได้กว้างขวางทั่วไปของข้อค้นพบ (สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์,2540:24-25)
6.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นอธิบายปราฏการณ์ทางสังคมและความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์กับสภาพแวดล้อม โดยอาศัยมิติทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นหลักในการศึกษาและวิเคราะห์ปรากฏการณ์นั้น
7. ประเภทของการวิจัย แบ่งตามสาขาวิชาการต่างๆ ของสภาวิจัยแห่งชาติ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มวิชาการต่างๆ ดังนี้
7.1 สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโลกและอวกาศ ธรณีวิทยา อุทกวิทยา สมุทรศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา ฟิสิกส์ของสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.2 สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ แพทยศาสตร์ สาธารณสุข เทคนิคการแพทย์ พยาบาลศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ สังคมศาสตร์การแพทย์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.3 สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช ประกอบด้วยกลุ่มวิชาอนินทรีย์เคมี อินทรีย์เคมี ชีวเคมี เคมีอุตสาหกรรม อาหารเคมี เคมี โพลิเมอร์ เคมีวิเคราะห์ ปิโตรเคมี เคมีสิ่งแวดล้อม เคมีเทคนิค นิวเคลียร์เคมี เคมีเชิงฟิสิกส์ เคมีชีวภาพ เภสัชเคมีและเภสัชวิเคราะห์ เภสัช- อุตสาหกรรม เภสัชกรรม เภสัชวิทยาและพิษวิทยา เครื่องสำอาง เภสัช-เวท เภสัชชีวภาพ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.4 สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ประกอบด้วยกลุ่มวิชาทรัพยากรพืช การป้องกันกำจัดศัตรูพืช ทรัพยากรสัตว์ ทรัพยากรประมง ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร ระบบเกษตร ทรัพยากรดิน ธุรกิจการเกษตร วิศวกรรมและเครื่องจักรกลการเกษตร วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.5 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย
ประกอบด้วยกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพื้นฐานทางวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ อุตสาหกรรมวิจัยและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.6 สาขาปรัชญา ประกอบด้วยกลุ่มวิชาปรัชญา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี วรรณคดี ศิลปกรรม ภาษา สถาปัตยกรรม ศาสนาและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.7 สาขานิติศาสตร์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชากฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน กฎหมายอาญา กฎหมายเศรษฐกิจ กฎหมายธุรกิจ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายวิธีพิจารณาความและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.8 สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
ประกอบด้วยกลุ่มวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นโยบายศาสตร์ อุดมการณ์ทางการเมือง สถาบันทางการเมือง ชีวิตทางการเมือง รัฐประศาสนศาสตร์ มติสาธารณะ ยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคง เศรษฐศาสตร์การเมือง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.9 สาขาเศรษฐศาสตร์ ประกอบด้วยกลุ่มวิชาเศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ บริหารธุรกิจ การบัญชี และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.10 สาขาสังคมวิทยา ประกอบด้วย กลุ่มวิชาสังคมวิทยา ประชากรศาสตร์ มานุษยวิทยา จิตวิทยาสังคม ปัญหาสังคม และสังคมสงเคราะห์ อาชญาวิทยา กระบวนการยุติธรรม มนุษย์นิเวศวิทยาและนิเวศวิทยาสังคม พัฒนาสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิศาสตร์สังคม การศึกษาความเสมอภาคระหว่างเพศ คติชนวิทยา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.11 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์
ประกอบด้วยกลุ่มวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม การสื่อสารด้วยดาวเทียม การสื่อสารเครือข่าย การสำรวจและรับรู้จากระยะไกล ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ สารสนเทศศาสตร์ นิเทศศาสตร์ บรรณารักษศาสตร์ เทคนิคพิพิธภัณฑ์และภัณฑาคาร และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
7.12 สาขาการศึกษา ประกอบด้วยกลุ่มวิชาพื้นฐานการศึกษา หลักสูตรและการสอน การวัดและการประเมินผลการศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา บริหารการศึกษา จิตวิทยาและแนะแนวการศึกษา การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาพิเศษ พลศึกษา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
15. ขั้นตอนการวิจัยโดยทั่วไป ประกอบด้วยลักษณะการดำเนินงานที่สำคัญกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง
ตอบ 7 ขั้นตอนดังนี้
1. การกำหนดปัญหาการวิจัย
2. การทบทวนวรรณกรรม
3. การตั้งสมมติฐาน
4. การออกแบบการวิจัย
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
6. การวิเคราะห์ข้อมูล
7. การจัดทำและนำเสนอรายงานการวิจัย
16. การดำเนินการในแต่ละขั้นตอนของการวิจัย มีแนวทางดังนี้
ตอบ การดำเนินการในแต่ละขั้นตอนของการวิจัย มีแนวทางดังนี้
1. การกำหนดปัญหาการวิจัย
ปัญหาการวิจัย (research question) หรือปัญหานำการวิจัย คำถามการวิจัย โจทย์การวิจัย หมายถึงคำถามที่ใช้เป็นแนวทางในการชี้นำทิศทางและแนวทางในการวิจัย ด้วยเหตุนี้ การกำหนดปัญหาการวิจัยจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการวิจัย ทั้งนี้ การจะตั้งปัญหาการวิจัยอย่างไรนั้น ผู้ทำวิจัยควรมีความชัดเจนว่า อยากรู้อะไรโดยประมวลความรู้จากแหล่งต่างๆ และใช้เวลาในการคิด วิเคราะห์เพื่อให้ประเด็นปัญหามีความกระชับชัด ลุ่มลึกตรงกับความสนใจ เงื่อนไขและทรัพยากรที่จะนำมาใช้ในการวิจัยได้ นอกจากนี้ ปัญหาการวิจัยยังเป็นตัวกำหนดระเบียบวิธีที่ใช้ ดังนั้นการกำหนดปัญหาการวิจัยจึงมีความสำคัญเป็นอันดับแรก
หากปัญหาการวิจัยสะท้อนลักษณะของการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อมุ่งทดสอบสมมติฐานหรือทฤษฎีที่ตั้งเอาไว้ก่อนแล้ว ระเบียบวิธีที่ใช้ก็จะเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ตัวอย่างเช่น”ประชาชนวัย 30-60 ปี ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ใช้ประโยชน์และมีความพึงพอใจต่อรายการวิทยุกระจายเสียงอย่างไร” แต่ถ้าปัญหาการวิจัยมีลักษณะของการทำความเข้าใจและการให้ความหมายการแสดงพฤติกรรมทางสังคม การวิจัยเชิงคุณภาพก็จะเป็นระเบียบวิธีที่นำมาใช้ เช่น “การสื่อสารมีบทบาทในการเสริมพลังความเข้มแข็งให้กับผู้หญิงในการปกครองท้องถิ่นอย่างไร”
ทั้งนี้ เกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมินปัญหาดังกล่าวได้แก่ มีลักษณะเป็นปัญหาการวิจัยจริง มีความสำคัญ มีคุณค่า มีความจำเป็นเร่งด่วนสมควรจะต้องวิจัย ช่วยเพิ่มพูนองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้ว มีทฤษฎี งานวิจัยและคำอธิบายที่เหมาะสมรองรับ เป็นปัญหาที่ช่วยให้ได้คำตอบที่นำไปสู่การตั้งปัญหาการวิจัยอื่นๆ ต่อไป และเป็นไปได้ที่จะแสวงหาคำตอบด้วยกระบวนการวิจัย
2. การทบทวนวรรณกรรม
วรรณกรรมในที่นี้ หมายถึงแนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยต่างๆ การทบทวนวรรณกรรมจึงเป็นการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ต้องการศึกษา เพื่อจะตรวจสอบว่า ประเด็นที่ตนสนใจนั้นอยู่ในสถานภาพใด อะไรที่ทำกันไปแล้ว ทำอย่างไร และผลเป็นอย่างไร นักวิจัยส่วนมากจึงให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้ว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญในการทำวิจัย ซึ่งอาจกระทำในสองระยะคือ
1. ทบทวนก่อนกำหนดปัญหาการวิจัย ในระยะนี้จะเป็นการศึกษาค้นคว้า เพื่อมองหาปัญหาการวิจัย หรือทำให้ปัญหาการวิจัยชัดเจนยิ่งขึ้นพร้อมกับตรวจสอบว่างานวิจัยที่จะทำนั้นมีผู้ใดทำมาก่อนหรือไม่ อย่างไร
2. เป็นการทบทวนหลังจากกำหนดปัญหาการวิจัยแล้วเพื่อศึกษาแนวคิด และหรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องว่าเป็นอย่างไร มีรายละเอียดอะไรบ้าง และส่วนไหนของทฤษฎีหรือแนวคิดที่เกี่ยวข้องที่จะนำมาใช้ในงานที่ตนจะศึกษา ซึ่งเป็นการเตรียมตัวให้ผู้วิจัยมีความรู้ในเรื่องที่จะศึกษาอย่างเพียงพอ
การทบทวนวรรณกรรมไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้จากแนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยต่างๆเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดเวลา แรงงาน และงบประมาณ ด้วยเหตุนี้ก่อนจะเริ่มทำการวิจัย นักวิจัยควรจะค้นหาคำตอบต่อไปนี้
1. การวิจัยประเภทไหนที่มีผู้ทำแล้วในประเด็นนั้น
2. ข้อค้นพบจากการศึกษาครั้งก่อนๆ มีอะไรบ้าง
3. ข้อเสนอแนะที่นักวิจัยเสนอไว้ในการวิจัยครั้งต่อไปคืออะไร
4. มีประเด็นใดบ้างที่ยังไม่ได้ศึกษา
5. ประเด็นที่นักวิจัยสนใจจะช่วยเพิ่มองค์ความรู้ในสาขานั้นๆ อย่างไร
6. การศึกษาที่ผ่านมาใช้วิธีการศึกษาอย่างไร
คำตอบที่ได้จากคำถามดังกล่าวจะช่วยในการกำหนดปัญหาการวิจัย หรือตั้งสมมติฐานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้การทบทวนวรรณกรรมยังนำไปใช้ในขั้นตอนอื่นของการวิจัยด้วย เช่น การออกแบบการวิจัย และการเขียนรายงานการวิจัยในส่วนของการอภิปรายผล
3. การตั้งสมมติฐาน
เมื่อทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านจนพอจะมองเห็นแนวทางว่า ประเด็นที่สนใจศึกษานั้นจะมีผลออกมาเป็นเช่นไร จึงลงมือเขียนสมมติฐาน สมมติฐานเป็นการคาดเดาหรือทำนายคำตอบของปัญหาการวิจัยซึ่งอาศัยเหตุผลจากทฤษฎี แนวคิด งานวิจัยที่เกี่ยวข้องนั่นเอง โดยเขียนในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่สองตัวขึ้นไป เพื่อเป็นแนวทางในการตรวจสอบได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์
สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยอาจจะตั้งหรือไม่ตั้งสมมติฐานการวิจัยไว้ก่อนก็ได้และมักจะเขียนในเชิงบรรยาย ทั้งนี้การเขียนสมมติฐานจะเขียนเพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายของการศึกษาแต่พร้อมจะปรับเปลี่ยนเมื่อเก็บข้อมูลไปบางส่วนแล้ว
ในส่วนข้อเสนอแนะในการตั้งสมมติฐานที่ดี ซึ่งจะเอื้อให้ทำการวิจัยได้เป็นอย่างดีนั้น ได้ให้แนวทางไว้ดังนี้
1. สะท้อนถึงแนวความคิดที่ชัดเจนไม่คลุมเครือ กล่าวคือ แนวความคิดในการวิจัยก็ต้องกำหนดให้ชัดเจน ให้ความหมายในเชิงปฏิบัติได้เป็นอย่างดี การตั้งสมมติฐานก็จะชัดเจนตามไปด้วย
2. รัดกุม เฉพาะเจาะจง เพราะหากตั้งสมมติฐานไว้กว้างเกินไปอาจไม่สามารถพิสูจน์หรือทดสอบได้
3. คำนึงถึงเทคนิคและความก้าวหน้าของศาสตร์ในสาขานั้นๆ ด้วยว่า เทคนิคและความก้าวหน้าของศาสตร์นั้นไปถึงไหน เพราะผู้วิจัยจะต้องแน่ใจว่า สมมติฐานที่ตนตั้งขึ้นนั้นจะต้องพิสูจน์หรือทดสอบได้
4. การออกแบบการวิจัย
ในทำนองเดียวกัน การออกแบบการวิจัยก็เป็นการกำหนดแผนงาน ยุทธวิธีการดำเนินงานเพื่อตอบปัญหาการวิจัย เมื่อพิจารณาการออกแบบการวิจัยในด้านประสิทธิผลแล้ว การออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณนั้น มุ่งที่จะให้ได้ข้อค้นพบที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่มีความตรงภายในและมีความตรงภายนอกซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ความตรงภายใน (internal validity)
การวิจัยจะมีความตรงภายในสูง เมื่อความแตกต่างหรือความแปรปรวน (variance) ที่เกิดขึ้นกับตัวแปรตาม (dependent variable) เป็นผลเนื่องมาจากตัวแปรอิสระ (independent variable) ของการวิจัยเท่านั้น ซึ่งสามารถกล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือ ผู้วิจัยสามารถวัดค่าตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามได้อย่างมีความคลาดเคลื่อนต่ำ ตลอดจนสามารถควบคุมตัวแปรตามไว้ได้นั่นเอง ตัวอย่างเช่น หลังจากการควบคุมระดับสติปัญญา และฐานะทางเศรษฐกิจของผู้เรียน คุณวุฒิ ประสบการณ์ของผู้สอนแล้ว ปรากฏว่า วิธีการสอนแบบ X ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างจากวิธีการสอนแบบ Y เป็นต้น
การออกแบบการวิจัยที่ให้ความตรงภายในสูงนั้น ผู้วิจัยสามารถออกแบบการวัด เพื่อวัดค่าตัวแปร และควบคุมตัวแปรได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนต้องสามารถออกแบบการใช้สถิติ เพื่อเลือกใช้สถิติเชิงบรรยาย และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
1.1การออกแบบการวัด (measurement design) ประกอบด้วย
1.1.1การกำหนดรูปแบบและวิธีการการวัดค่าตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม
1) ระบุโครงสร้าง และความหมายของตัวแปร
2) การสร้างสเกล และเครื่องมือวัดค่าตัวแปร
3) การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัย
4) วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
1.1.2 การกำหนดรูปแบบ และวิธีวัดค่า หรือควบคุมตัวแปรเกิน
1) จัดสมาชิกเข้ากลุ่มโดยการสุ่ม (random assignment)
2) นำตัวแปรเกินมาใช้เป็นตัวแปรอิสระ
3) จัดสภาพการณ์นั้นให้คงที่ เพื่อขจัดอิทธิพลของตัวแปรเกิน
4) การควบคุมตัวแปรเกินทางสถิติ
1.2 การออกแบบการใช้สถิติ
1.2.1 การเลือกใช้สถิติเชิงบรรยายที่เหมาะสมกับสเกลการวัดและวัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.2.2 การวิเคราะห์และบรรยายข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่ถูกต้อง
2. ความตรงภายนอก (external validity)
การวิจัยจะมีความตรงภายนอกสูง เมื่อผลการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างสามารถสรุปอ้างอิง (inference) ไปยังประชากรเป้าหมายอย่างถูกต้อง หรือสามารถนำผลการวิจัยไปสรุปใช้ (generalize) ในสถานการณ์อื่นที่คล้ายคลึงกันได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสามารถกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผู้วิจัยจะต้องสามารถสุ่มตัวอย่างที่มีความเป็นตัวแทนประชากรเป้าหมายที่ต้องการสรุปอ้างอิงไปถึงและจะต้องสามารถออกแบบการใช้สถิติเพื่อเลือกใช้สถิติเชิงสรุปอ้างอิงจากค่าสถิติของกลุ่มตัวอย่าง ไปยังค่าพารามิเตอร์ของประชากรได้อย่างถูกต้อง
ความตรงภายใน เป็นคุณสมบัติพื้นฐาน ส่วนความตรงภายนอก มีความสำคัญกล่าวคือ การวิจัยจะมีความตรงภายนอกสูง เมื่อการวิจัยนั้นประกอบด้วยความตรงภายใน ตลอดจนผู้วิจัยสามารถออกแบบการสุ่มตัวอย่าง (sampling design) เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากรเป้าหมายโดยการจัดกระทำการสุ่ม (random selection) และจะต้องสามารถออกแบบการใช้สถิติ เพื่อเลือกใช้สถิติเชิงสรุปอ้างอิงในการวิเคราะห์ และแปลความหมายได้อย่างถูกต้อง
2.1 การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง (sampling design) ประกอบด้วย
2.1.1 การกำหนดรูปแบบและวิธีการสุ่มตัวอย่าง
1) จัดทำกรอบการสุ่มตัวอย่างที่สมบูรณ์
2) เลือกวิธีการสุ่ม
2.1.2 การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม
1) หลักการทางทฤษฎี การพิจารณาสูตรการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม
- ชนิดของพารามิเตอร์ ที่ต้องการทดสอบหรือประมาณค่า
- ขนาดประชากร ความแปรปรวน ความคลาดเคลื่อน ระดับความมั่นใจ
2) หลักการทางปฏิบัติ คำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่
3) ขนาดที่เหมาะสม เป็นขนาดที่พอดี ระหว่างหลักทฤษฎีและปฏิบัติ
2.2 การออกแบบการใช้สถิติ ประกอบด้วย
2.2.1 การเลือกใช้สถิติเชิงสรุปอ้างอิง ที่เหมาะสมกับข้อตกลงเบื้องต้นและวัตถุประสงค์ของการวิจัย
2.2.2 การวิเคราะห์และแปลความหมาย การทดสอบสมมติฐาน หรือการประมาณค่าพารามิเตอร์ได้อย่างถูกต้อง
การออกแบบการวิจัยดังกล่าวเป็นวิธีการที่ใช้กับการวิจัยเชิงปริมาณซึ่งจะออกแบบการวิจัยก่อนที่จะเริ่มศึกษา ในขณะที่การวิจัยเชิงคุณภาพจะออกแบบการวิจัยในระหว่างดำเนินงาน โดยเน้นความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนตามบริบท เงื่อนไขของชุมชนที่ศึกษา
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สิ่งที่ผู้วิจัยจะต้องคำนึงถึงได้แก่ลักษณะของข้อมูล ซึ่งอาจแบ่งเป็นข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ ทั้งนี้ข้อมูลที่ต้องการจะเป็นข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลเชิงคุณภาพ หรือเป็นทั้งข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลเชิงคุณภาพขึ้นอยู่กับปัญหาการวิจัยด้วย
ความแตกต่างของข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพคือ ข้อมูลเชิงปริมาณเป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลขที่สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ทางสถิติได้ ในขณะที่ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นข้อมูลที่เป็นข้อความ ตัวอักษรหรือภาพต่างๆ ที่ผู้วิจัยจะต้องนำไปตีความเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจต่อไป
วิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจะใช้การสอบถาม การสัมภาษณ์เป็นหลักโดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
ส่วนการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการที่ไม่กำหนดโครงสร้างตายตัว โดยใช้ตัวนักวิจัยเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเก็บข้อมูลและมักใช้การสังเกตอย่างมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์แบบไม่กำหนดโครงสร้างไว้แน่นอนเป็นหลัก นอกจากนี้ การวิจัยเชิงคุณภาพยังเน้นวิธีการเข้าถึงข้อมูลคือการที่ผู้วิจัยทำตัวให้เป็น”ส่วนหนึ่งของชุมชน” สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนซึ่งใช้เวลานานพอสมควร นานพอที่จะได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มเป้าหมายและนานพอที่จะเข้าใจบริบทของชุมชนและพฤติกรรมทางสังคมต่างๆ ที่ต้องการศึกษา ด้วยเหตุนี้ข้อมูล เครื่องมือเก็บข้อมูลและวิธีการเก็บข้อมูลสามารถยืดหยุ่นได้ตามสภาพของชุมชนและกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา
6. การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลคือการนำเอาข้อมูลมาแยกแยะ ผสมผสานเพื่อให้เกิดเป็นแนวความคิดและนำแนวความคิดเหล่านั้นมาแยกแยะ ผสมผสาน ประกอบกันเพื่อให้ได้มาซึ่งความสัมพันธ์ที่ใช้อธิบายและตอบปัญหาการวิจัย
7. การจัดทำและนำเสนอรายงานการวิจัย
รายงานการวิจัยเป็นเอกสารรายงานที่ประกอบด้วยองค์ประกอบสองส่วนหลักๆ คือ ส่วนแรก เป็นโครงร่างการวิจัย ที่ผู้วิจัยได้จัดทำก่อนที่จะเก็บรวบรวมข้อมูล และส่วนที่สอง เป็นส่วนที่เสนอผลงานการวิจัยและการสรุป อภิปรายผล ซึ่งจัดทำเมื่อดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้หากพิจารณาจากเนื้อหาที่แบ่งเป็นบทในรายงานการวิจัยที่พบโดยทั่วไปจะมีอยู่ 5 บทนั้น สามบทแรกเป็นโครงร่างการวิจัย คือส่วนที่เป็นบทนำ การทบทวนวรรณกรรม และวิธีดำเนินการวิจัย ส่วนบทที่สี่และห้า เป็นผลการวิจัยและสรุปอภิปรายผล
ความรู้ด้านระเบียบการบริหารงานวิจัย
17. เพราะเหตุใดจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการบริหารการวิจัย
ตอบ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องมีการบริหารงานวิจัยสรุปได้ 5 ประเด็นปัญหา ดังนี้
1) ปัญหาการคิดริเริ่มในการทำวิจัย ปัญหานี้เกิดจากนักวิจัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์หรือบุคลากรรุ่นใหม่ ประสบปัญหาในการหาหัวข้อหรือประเด็นการวิจัย ซึ่งอาจจะเกิดจากการขาดความรู้และประสบการณ์ หน่วยงานบริหารการวิจัยจึงจะต้องจัดที่ปรึกษาวิจัยไว้สำหรับให้คณาจารย์และนักวิจัยได้ขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องของวิธีวิทยาการวิจัย สถิติการวิจัย เป็นต้น
2) ปัญหาการทำวิจัยไม่เสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ปัญหานี้เกิดจากการที่ได้มีการอนุมัติให้มีการทำวิจัยไปแล้ว แต่เนื่องจากนักวิจัยไม่สามารถที่จะดำเนินการวิจัยได้ทันกับกำหนดเวลา หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารงานวิจัยจึงจะต้องจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้งานวิจัยเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้การติดตามและประเมินผลเป็นระยะ ก่อนที่จะได้มีการอนุมัติทุนสนับสนุนการวิจัยในรอบต่อไป
3) ปัญหาการเขียนรายงานการวิจัย การเขียนรายงานผลการวิจัย เป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัย เพราะเป็นการแสดงคุณภาพของงานวิจัยในระดับอุดมศึกษา ซึ่งหน่วยงานบริหารการวิจัยจะต้องมีหน้าที่ในการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างทักษะการเขียนรายงานการวิจัย โดยจัดเป็นโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ
4) ปัญหาขาดการวิพากษ์เพื่อประเมินคุณภาพผลงานวิจัย ปัญหานี้เกิดจากการที่ผลงานวิจัยที่ได้ดำเนินการวิจัยเสร็จสิ้นตามกระบวนการแล้ว ไม่ได้รับการวิพากษ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ จึงเป็นเหตุให้ผลการวิจัยที่จัดทำขึ้นขาดการประเมินคุณภาพงานวิจัยผลงานวิจัยจึงไม่ได้รับการยอมรับ และจะมีผลอย่างมากต่อการเผยแพร่ต่อไป ดังนั้นในการบริหารจัดการวิจัย จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารการวิจัยจะต้องจัดให้มีการวิพากษ์หรือการตรวจสอบคุณภาพของการวิจัยนั้น โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับสาขาของการวิจัย
5) ปัญหาการเผยแพร่งานวิจัย ปัญหานี้มักเกิดจากเมื่อดำเนินการวิจัยเสร็จแล้ว นักวิจัยมิได้เผยแพร่งานวิจัยด้วยการนำไปเสนอในที่ประชุมวิชาการ หรือมิได้เขียนบทความวิจัยเพื่อเผยแพร่ ด้วยเหตุนี้สาบันที่ทำหน้าที่บริหารการวิจัย มักจะมีการส่งเสริมทั้งในรูปแบบของการให้เงินสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัย การจัดให้มีการประชุมวิชาการทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งให้นักวิจัยได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานวิจัย หรือการจัดพิมพ์วารสาร หรือการใช้พื้นที่เว็บไซต์ในการเผยแพร่ผลงานวิจัย เป็นต้น
18. การบริหารการวิจัย หมายถึงอะไร
ตอบ การดำเนินการต่างๆ เพื่อให้การวิจัยสามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้ อย่างไรก็ตาม ความหมายของการบริหารการวิจัยได้ขยายขอบเขตที่กว้างขึ้น กล่าวคือ หมายรวมถึงการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้มีการผลิตหรือสร้างสรรค์การวิจัย การวางแผนการวิจัย การติดตามและควบคุมดูแลการวิจัยให้ดำเนินไปตามแผน การเผยแพร่และใช้ผลงานวิจัย
19. โครงร่างการวิจัย ประกอบไปด้วย
ตอบ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เป็นการปูพื้นให้ผู้อ่านได้เข้าใจเรื่องราวเป็นเบื้องต้นว่าผู้วิจัยมีเบื้องหน้าเบื้องหลังในการทำวิจัยอย่างไร โดยนำเอาแนวความคิด ทฤษฎีหรืองานวิจัยหรือข้อความสำคัญมาสนับสนุน เช่นคำพูดของผู้เชี่ยวชาญ ผู้รู้ ผู้ชำนาญการในสาขาต่างๆ หรือแนวนโยบาย ข้อกฎหมาย และพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา เช่นบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 40 ที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับคลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และวิทยุโทรคมนาคม เป็นต้น การเขียนในส่วนนี้ต้องเขียนให้ตรงประเด็นและสั้น หยิบยกประเด็นและตัวอย่างหรือข้อสนับสนุนเฉพาะส่วนที่สำคัญเพื่อดึงดูดความสนใจให้ผู้อ่านติดตามต่อไป
2. วัตถุประสงค์ ระบุให้ชัดเจนว่าต้องการจะศึกษาในประเด็นใดบ้าง โดยอาจเขียนเป็นรายข้อ ทั้งนี้วัตถุประสงค์จะเป็นตัวชี้ว่า งานวิจัยจะมุ่งไปในทิศทางใดและเป็นตัวกำหนดรายละเอียดของการวิจัยต่อไป นอกจากนี้การสรุปผลการวิจัยจะต้องตอบคำถามตามวัตถุประสงค์อย่างครบถ้วน
3. ขอบเขตในการวิจัย เป็นการตีกรอบขอบเขตของการวิจัยว่า มีขอบเขตแค่ไหน โดยอาจระบุขอบเขตในด้านเนื้อหา ด้านประชากร ด้านพื้นที่ และด้านระยะเวลา
4. นิยามศัพท์ อธิบายความหมายของคำหลัก หรือตัวแปรที่จะศึกษาที่อาจปรากฏในหัวเรื่องการวิจัย ปัญหาการวิจัย วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นหลักสำหรับผู้วิจัยที่จะใช้ในการวัดตัวแปรและช่วยสื่อความหมายให้ตรงกัน
5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย เป็นการระบุความคาดหมายที่จะได้รับจากงานวิจัยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานหรือผู้ปฏิบัติงานหรือวงวิชาการในด้านใด อย่างไร
6. แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นการสรุปหรือดึงแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่จะนำมาใช้ในงานวิจัยมาแสดงให้เห็นว่า ผู้วิจัยจะใช้แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยชิ้นใดบ้าง ทั้งนี้ควรจะเขียนบทสรุปไว้ตอนท้ายว่าจะนำมาใช้อย่างไร และมีตัวแปรใดหรือจุดอ่อน จุดแข็งที่พบจากการเรียนรู้งานวิจัยที่เลือกมาศึกษา
7. วิธีดำเนินการวิจัย ระบุรายละเอียดในการดำเนินการวิจัย โดยมีหัวข้อย่อยดังนี้
รูปแบบการวิจัย ระบุรูปแบบการวิจัยว่าเป็นการวิจัยแบบใด การวิจัยเชิงทดลอง การวิจัยเชิงสำรวจ หรือการวิจัยเชิงคุณภาพ ฯลฯ
กลุ่มเป้าหมาย ระบุให้ชัดเจนว่า เป็นประชากรกลุ่มใด และขนาดของประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย หากจะใช้กลุ่มตัวอย่างจะต้องกำหนดขนาดของตัวอย่างและเทคนิคการสุ่มหรือการเลือกตัวอย่าง
การเก็บรวบรวมข้อมูล อธิบายว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไรบ้าง ขั้นตอนการสร้าง การทดลองใช้ รวมถึงการประเมินคุณภาพของเครื่องมือและวิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูล ในส่วนนี้เมื่อดำเนินการรวบรวมข้อมูลแล้ว ควรเขียนเพิ่มเติมว่า พบปัญหาใดบ้างและแก้ปัญหาได้หรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลมากขึ้น
20. จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฏีและขั้นตอนของการวิจัย
ตอบ ในการศึกษาปรากฏการณ์ใด ๆ จาเป็นจะต้องกำหนดแนวคิด ที่ได้มาจากทฤษฏีและปรากฏการณ์ โดยกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ของการศึกษา ที่จะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากปรากฏการณ์นั้น ๆ แล้วนาข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อจัดระเบียบ หมวดหมู่ เพื่อสรุปผลการวิจัยที่จาเป็นต้องใช้แนวคิด หรือทฤษฏีในการตีความหมาย และถ้าผลการวิจัยแตกต่างจากทฤษฏีที่ศึกษาอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนทฤษฏีให้มีความถูกต้องต่อไป
ในส่วนของการวิจัย ทฤษฏีเปรียบเสมือน “แผนที่” ในการเดินทางไปสู่สถานที่ใด ๆ ที่บุคคลจะต้องศึกษาค้นคว้า ทาความเข้าใจกับเส้นทางก่อนการเดินทาง ในทานองเดียวกันในการทางานวิจัย ผู้วิจัยจะต้องทบทวน ทฤษฏี แนวคิด และงานวิจัยเพื่อรับทราบข้อค้นพบ สมมุติฐาน ข้อจากัด และคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ตนเองสนใจ ตลอดจนเพื่อแสวงหาประเด็นคาถามที่มีคุณค่าในการวิจัย
21. จงอธิบายประโยชน์ของทฤษฏีต่อการวิจัย
ตอบ ประโยชน์ของทฤษฏีที่มีต่อการวิจัย ดังนี้
1. กาหนดกรอบการวิจัย ทฤษฏีจะเป็นแนวทางในการกำหนดตัวแปรที่ศึกษา จะมีการออกแบบการวิจัย และเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร
2. จำแนกและลาดับข้อเท็จจริงของตัวแปรให้เป็นหมวดหมู่โดยใช้ทฤษฏีเป็นกฎเกณฑ์ เพื่อให้ศึกษาได้ง่ายขึ้น
3. กำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย เป็นการศึกษาความคิดรวบยอดเชิงทฤษฏีจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะได้นามากาหนดกรอบแนวความคิดในการวิจัยที่แสดงความสัมพันธ์
ของตัวแปรได้อย่างชัดเจน
4. กำหนดสมมุติฐาน ในการศึกษาความคิดรวบยอดเชิงทฤษฏีจะช่วยทาให้สามารถกำหนดสมมุติฐานที่ถูกต้องตามหลักของเหตุและผลที่ระบุไว้
5. กำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่จะต้องใช้ทฤษฏีในการวิเคราะห์ว่าจะสามารถเก็บข้อมูลด้วยวิธีการใดบ้าง เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในปรากฏการณ์นั้น ๆ
6. การสรุปข้อเท็จจริง ในงานวิจัยบางเรื่องที่มีความซับซ้อนของข้อมูลที่นามาใช้ จะต้องใช้ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมาเป็นมาตรฐานในการตรวจสอบ อภิปรายผล และสรุปผลการวิจัย
7. การพยากรณ์ เป็นการใช้ทฤษฎีในการคาดคะเนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสรุปผลได้
ความรู้ด้านการใช้ระบบสารสนเทศทางด้านการวิจัย
22. ระบบสารสนเทศ คืออะไร
ตอบ ระบบจัดเก็บข้อมูล ในด้านต่างๆ เอาไว้ แล้วนำข้อมูลมาประมวล ให้เป็นสารสนเทศ เพื่อส่งให้ผู้ใช้ ระบบสารสนเทศที่รู้จักกันดีก็คือ ระบบสารสนเทศ เพื่อการจัดการ (Management Information System หรือ MIS) ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร (Executive Information System หรือ EIS) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System หรือ DSS) ระบบเหล่านี้นิยมพัฒนา และใช้กันมาก ในวงการบริหารจัดการ ทั้งทางภาคธุรกิจ และเอกชน
23. จงอธิบายความสำคัญของสารสนเทศสำหรับงานวิจัย
ตอบ การทำวิจัยนั้นจำเป็นจะต้องใช้ สารสนเทศอย่างแน่นอน หากไม่มีสารสนเทศใดๆ มาประกอบเลย การทำวิจัยของเรา ก็อาจจะผิดตั้งแต่ต้น เพราะเป็นที่รู้กันอยู่ว่า การทำวิจัยนั้น เปรียบเสมือนกับนักวิจัย จะต้องยืนบนบ่า ของนักวิจัยรุ่นก่อนๆ คือจะต้องสร้างความรู้ขึ้นใหม่ จากความรู้หรือสารสนเทศ ที่นักวิจัยรุ่นก่อนสร้างเอาไว้แล้ว หากไม่มีความรู้ หรือสารสนเทศเดิมให้ใช้ ผลงานวิจัยที่ได้รับ ก็อาจจะไม่น่าเชื่อถือ หรือ นำไปใช้อ้างอิงไม่ได้
24. สารสนเทศที่นักวิจัยต้องใช้ ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ สารสนเทศที่นักวิจัยต้องใช้ ได้แก่
1. สารสนเทศสำหรับสร้างแนว หรือกรอบความคิด นักวิจัยอาชีพนั้นปกติจะทราบดีอยู่แล้วว่า แนวทางหรือกรอบความคิด สำหรับงานวิจัยเรื่องใหม่จะเป็นอะไร และส่วนมากนักวิจัยเหล่านี้ ก็มักจะทำงานวิจัย สืบต่อจากงานวิจัยเดิม ที่เคยทำมาแล้ว เพียงแต่ศึกษาวิจัยเพิ่มเติม ในรายละเอียด หรือ ขยายผลไปสู่งานที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นนักวิจัยเหล่านี้ อาจจะไม่ต้องการสารสนเทศ ด้านนี้มากนัก เพราะทุกอย่างอยู่ในสมองมากแล้ว แต่ถ้าเป็นนักวิจัยมือใหม่ หรือ เป็นนักศึกษาปริญญาโทและเอก ที่อาจารย์ที่ปรึกษา มอบหัวข้อเรื่องงานวิจัยให้ทำแล้ว การสร้างแนวหรือกรอบความคิด ที่เหมาะสมกับงานวิจัยนั้นๆ เป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นมาก นักวิจัยมือใหม่เหล่านี้ จะต้องสืบค้นหา บทความวิจัย หรือ บทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง กับงานวิจัยที่กำลังจะทำ ให้ได้มากที่สุด แล้วนำมากลั่นกรอง ให้เป็นแนวความคิดให้ได้ สารสนเทศที่สืบค้นมาได้นี้ สุดท้ายจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษาวรรณกรรม ซึ่งต้องเป็นหัวข้อตอนหนึ่ง หรือบทหนึ่ง ในรายงานผลการวิจัย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากผมต้องการทำวิจัย เรื่องผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ ต่อผู้บริหารคณะวิชา หรือคณบดีในมหาวิทยาลัย ผมอาจจะต้องสืบค้นหา สารสนเทศเกี่ยวกับการศึกษา ผลกระทบของไอทีในด้านต่างๆ หรือต่อบุคคลต่างๆ เพื่อจะนำมาใช้ เป็นกรอบสำหรับการศึกษาว่า ผมควรจะตั้งประเด็น เรื่องเกี่ยวกับผลกระทบอย่างไร ควรศึกษาอย่างไร จะวัดผลกระทบอย่างไร ผลกระทบต่อบุคคลอื่นๆ น่าสนใจในด้านใดบ้าง ฯลฯ
2. สารสนเทศเกี่ยวกับเนื้อหาที่กำลังวิจัย สารสนเทศเรื่องนี้มีลักษณะคล้ายกับที่กล่าว ไปแล้วข้างต้น แต่อาจจะไม่ใช่ สารสนเทศเชิงประวัติ แต่เป็นสารสนเทศที่เกี่ยวเนื่อง กับเนื้อหาที่ได้กำหนดเป็นแนวความคิด หรือกรอบความคิดเอาไว้แล้ว ยกตัวอย่างสืบต่อจาก ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็คือ ผมต้องการสารสนเทศ ที่เกี่ยวกับบทบาท ภารกิจของมหาวิทยาลัย ของคณบดี สารสนเทศเกี่ยวกับสถาบันอุดมศึกษาในไทย สารสนเทศเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ ในด้านต่างๆ ของไทย ฯลฯ นอกจากนี้ ผมยังอาจจะต้องการได้รับข้อมูล ในรายละเอียดมากขึ้น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อ และที่อยู่ของคณบดี สารสนเทศและรายละเอียดเหล่านี้ จะทำให้ผมสามารถตั้งประเด็น การศึกษาวิจัยได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
3. สารสนเทศที่ได้จากข้อมูลการทดลอง สำรวจ สังเกต สัมภาษณ์ ฯลฯ การวิจัยแต่ละอย่าง ก็มีวิธีการได้ข้อมูล มาต่างๆกัน การวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนมากมักจะเป็นการทดลอง ในห้องปฎิบัติการ ถ้าหากมีการใช้เครื่องมือ สำหรับวัดหรือนับ ก็จะได้ข้อมูลออกมาจากเครื่องมือนั้น ในอดีต เราต้องใช้วิธี บันทึกข้อมูลบนกระดาษ ก่อนที่จะนำข้อมูลนั้น ไปคำนวณตามสูตรที่ต้องการ แต่ปัจจุบันเราสามารถใช้ อุปกรณ์บันทึกข้อมูล รับตัวเลขข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ได้ทันที ในกรณีของการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ ข้อมูลส่วนมากเป็นข้อมูลสำรวจ หรือข้อมูลเชิงพรรณา ซึ่งก็มักจะถูกถ่ายทอดเป็นรหัส สำหรับนำไปแจงนับหรือคำนวณอีกต่อหนึ่ง ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ การคำนวณ หรือประมวลผลตามที่กล่าวมานี้ จะทำให้เกิดเป็นสารสนเทศให้นักวิจัย นำไปคิดพิจารณาหาข้อสรุปว่า ผลการวิจัยนั้น เป็นไปตามสมมุติฐานหรือไม่
4. สารสนเทศเกี่ยวกับแหล่งเผยแพร่งานวิจัย การทำงานวิจัยของนักวิจัย ตามหน่วยงานต่างๆ นั้น มีความแตกต่างกันมาก งานวิจัยของบริษัทเอกชนนั้น ส่วนมากต้องการที่จะ นำไปสู่การผลิตสินค้า หรือ จัดเป็นบริการออกสู่ตลาด ดังนั้น จึงไม่หวังผลที่จะตีพิมพ์ เป็นบทความวิจัยเสนอให้ผู้อ่าน ได้รับทราบในวงกว้าง จะมียกเว้นก็แต่ในงานวิจัย ที่มีลักษณะเป็นงาน เน้นหนักทางด้านทฤษฎีมากๆ แต่ถ้าหากเป็นงานวิจัย ของอาจารย์และนักศึกษาแล้ว สถาบันก็มักจะผลักดัน ให้อาจารย์เขียนเป็นบทความ ออกเผยแพร่ ในวารสารวิชาการ หรือ เผยแพร่ด้วยการนำไปบรรยาย ในการประชุมวิชาการต่างๆ หากบทความที่เขียนขึ้น ได้รับการยอมรับ เพื่อตีพิมพ์หรือเพื่อนำเสนอแล้ว อาจารย์ผู้เขียน ก็สามารถนับบทความนั้น เป็นผลงานสำหรับใช้ ในการเสนอขอเลื่อน ตำแหน่งทางวิชาการได้ แนวคิดนี้ยังใช้สืบมา จนปัจจุบันนี้ จนมีคำกล่าวว่า การตีพิมพ์ผลงานของอาจารย์นั้น เป็นเรื่องจำเป็น มิฉะนั้นก็หมดอนาคต (Publish or Perish) ด้วยเหตุนี้ อาจารย์นักวิจัย จึงต้องมีสารสนเทศ เกี่ยวกับแหล่งสำหรับตีพิมพ์บทความ หรือ สารสนเทศเกี่ยวกับ การประชุมวิชาการ ที่จะจัดให้มีขึ้นในอนาคต เพื่อที่อาจารย์จะได้จัดทำบทความนั้น ส่งไปให้พิจารณา
5. สารสนเทศเกี่ยวกับผลการวิจัย นักวิจัยที่ทำงานอย่างเป็นระบบ และมีผลงานที่มีคุณภาพสูงนั้น จะไม่ทำงานวิจัย เสร็จแล้วก็ทิ้งขว้าง แต่จะติดตามต่อไปว่า งานของตนนั้น มีผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์บ้าง การวิจารณ์นั้นถูกต้องหรือไม่ มีอะไรควรแก้ไขปรับปรุงบ้าง หรืออาจจะต้องติดตามต่อไปว่า มีผู้ใดนำงานวิจัยของตนไปอ้างอิง และทำวิจัยต่อเนื่องออกไปอีกบ้าง การหาสารสนเทศเช่นนี้ มีความจำเป็นมาก เพราะงานที่ได้รับการอ้างอิง ในบทความอื่นๆ มาก ย่อมแสดงว่า เป็นงานที่มีเนื้อหาสาระดี เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ และอาจจะเป็นงานที่สร้าง พื้นฐานวิชาการสายใหม่ได้ด้วย
25. แหล่งสารสนเทศงานวิจัย ได้แก่ที่ใดบ้าง
ตอบ ในเมื่อการทำงานวิจัย ต้องใช้สารสนเทศ หลายด้าน หลายลักษณะด้วยกัน นักวิจัยจึงจำเป็น จะต้องทราบว่า จะค้นหาสารสนเทศ ที่ตนต้องการได้จากที่ใด แหล่งสารสนเทศที่นักวิจัย จะพึ่งพาอาศัยได้นั้น มีอยู่มากด้วยกัน คือ
1. แหล่งสารสนเทศส่วนตัว นักวิจัยอาชีพและอาจารย์ ที่มีประสบการณ์ ส่วนใหญ่มักจะเป็นสมาชิกของ สมาคมวิชาชีพ ในสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว สมาคมเหล่านี้จัดพิมพ์ วารสารวิชาการ ที่เชื่อถือได้ เพื่อจัดส่งให้สมาชิก ในสมาคมเอง ก็มีชมรมผู้สนใจเรื่องเฉพาะด้าน และจัดพิมพ์วารสารเฉพาะด้านเหล่านั้น สำหรับสมาชิกชมรมด้วย นอกจากนี้สมาคมเหล่านี้ ยังจัดการประชุมวิชาการ และจัดพิมพ์เอกสาร ประกอบการประชุม ออกมาเผยแพร่ด้วย ดังนั้น นักวิจัยและอาจารย์ จึงมักจะมีวารสาร หรือเอกสารประกอบการประชุม ในด้านที่ตนเองสนใจ อยู่เป็นจำนวนมาก หากนักวิจัยและอาจารย์ เป็นผู้ดำเนินงานวิจัยเอง ก็เป็นเรื่องง่าย เพราะมีสารสนเทศอยู่บ้างแล้ว แต่ถ้าหากเป็นนักศึกษา ที่อาจารย์มอบหมายให้ทำ นักศึกษาก็อาจจะต้อง ขอยืมอ่านบทความจากวารสาร และเอกสารประกอบการประชุม ที่อาจารย์มีอยู่
2. ห้องสมุดของสถาบัน สถาบันวิจัย และสถาบันการศึกษา ที่ส่งเสริมงานวิจัยจริงจังนั้น จำเป็นจะต้องมีห้องสมุด ที่สะสมรวบรวม วารสารวิชาการ และเอกสารประกอบการประชุมชั้นนำ เอาไว้เป็นจำนวนมาก และควรจะมีให้ครบสาขา ที่เกี่ยวข้อง การมีวารสารและเอกสารเหล่านี้ แม้จะเป็นประโยชน์มาก แต่ก็อาจจะยังไม่พอเพียง ที่จะช่วยให้นักวิจัย ได้รับสารสนเทศที่ต้องการ เพราะการค้นหาบทความ ที่ต้องการจากวารสาร ที่วางไว้บนชั้นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย นักวิจัยจะต้องเสียเวลานานมาก ในการค้นหาชื่อบทความ ด้วยการพลิกอ่านสารบัญ พอพบชื่อเรื่องที่เห็นว่า ใกล้เคียงกับงานของตน ก็ลองพลิกอ่านบทคัดย่อดูว่า จะใช้อ้างอิงได้หรือไม่ ดังนั้นนักวิจัยจึงต้องรู้เทคนิค ที่จะต้องค้นหาบทความ ที่ต้องการเหมือนกัน คือควรจะทราบว่าวารสารทุกชื่อนั้น ปกติจะจัดพิมพ์ดัชนีบทความ ประจำปีเอาไว้ นักวิจัยควรค้นชื่อบทความ จากดัชนีบทความจะง่ายกว่า ห้องสมุดบางแห่งอาจจะมีวารสาร อีกประเภทหนึ่งคือ Abstracts and Indexes ซึ่งเป็นวารสารที่จัดพิมพ์ดัชนีวารสาร ดัชนีบทความ และ บทคัดย่อของบทความวิชาการ สาขาต่างๆ เอาไว้เป็นเล่มๆ นอกจากนั้นยังมีผู้ตีพิมพ์วารสาร เกี่ยวกับ Thesis and Dissertations Abstracts ออกมาให้บริการแก่นักวิจัย โดยเฉพาะคือกลุ่มนักศึกษาด้วย วารสารประเภทนี้มีประโยชน์มาก แต่มีผู้ใช้ค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะนักวิจัยส่วนมาก ยังไม่รู้จักใช้ก็ได้ การค้นหาบทความวิชาการ จากวารสารดัชนีนั้น มีปัญหาสำคัญคือ เมื่อพบชื่อบทความที่ต้องใจแล้ว นักวิจัยอาจจะหาวารสาร ฉบับที่ต้องการไม่พบ อาจจะเป็นเพราะไม่มีวารสารชื่อนั้น หรือวารสารฉบับที่ต้องการ อาจจะหายไป หรือห้องสมุดอาจจะไม่ได้รับจากผู้พิมพ์ ในกรณีเช่นนี้ หากนักวิจัยต้องการบทความนั้นจริง ก็จำเป็นจะต้องสั่งซื้อ สำเนาบทความจากที่อื่น
3. ศูนย์สารสนเทศ สถาบันบางแห่ง ต้องการช่วยเหลือนักวิจัย ที่ทำงานสะดวกมากขึ้น จึงจัดตั้ง ศูนย์สารสนเทศขึ้น เพื่อศึกษาบทความวิชาการ หนังสือ รายงานวิจัย และเอกสารอื่นๆ แล้วนำมาทำบทคัดย่อ และดัชนีบทความ ขึ้นพิมพ์เผยแพร่ ศูนย์สารสนเทศเหล่านี้ อาจจะมีบริการที่หลากหลาย แตกต่างกันออกไป บางแห่งอาจจะให้บริการ จัดทำดัชนีเผยแพร่อย่างเดียว แต่บางแห่งอาจจะช่วยค้นหาบทความ และจัดทำสำเนาบทความ ให้แก่ผู้มาขอใช้บริการด้วย ศูนย์สารสนเทศหลายแห่ง ตั้งขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของ ห้องสมุดของสถาบันเอง เช่น ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย มีการจัดตั้งศูนย์สารสนเทศ ทางด้านวิศวกรรมธรณีเทคนิค พลังงานคืนรูป สิ่งแวดล้อม และเฟอโรซีเมนต์ หรือ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามนั้น มีการจัดตั้ง ศูนย์สารสนเทศ เพื่อรวบรวมข่าว บทความ และหนังสือเกี่ยวกับ วัฒนธรรมอิสาน แต่สถาบันบางแห่ง อาจจะตั้งขึ้น เป็นหน่วยงานต่างหากก็ได้ เช่น ศูนย์บริการสารสนเทศทางเทคโนโลยี หรือ Technical Information Access Center (TIAC) นั้น ก็เป็นศูนย์สารสนเทศประเภทนี้
4. ศูนย์บริการสารสนเทศแบบซีดีรอม และแบบออนไลน์ ศูนย์บริการประเภทนี้ มีวิวัฒนาการ สืบเนื่องมาจาก ศูนย์สารสนเทศ ที่ได้อธิบายไปข้างต้น เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ ก้าวหน้ามากขึ้น ศูนย์ฯ จึงนำไอทีมาเป็นเครื่องมือ ในการให้บริการแก่ลูกค้า แทนการพิมพ์ลงบนกระดาษ เพราะเห็นว่า สามารถให้บริการได้รวดเร็วกว่า หากนักวิจัยจะใช้แต่เพียง วารสารดัชนีบทความแล้ว จะไม่สามารถค้นหาบทความ ได้ทันกับความต้องการ ไอทีที่ ศูนย์บริการสารสนเทศ นำมาใช้ มีทั้งการจัดทำ เป็นซีดีรอมสำหรับส่งทางไปรษณีย์ ไปให้ผู้ขอซื้อบริการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ บรรดาห้องสมุดต่างๆ และการจัดบริการออนไลน์ ให้ห้องสมุดต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาบทความ ในฐานข้อมูลที่ศูนย์ได้จัดทำขึ้น สารสนเทศที่บรรจุในซีดีรอมนั้น มีทั้งแบบที่เป็นดัชนีล้วน หรือแบบที่มีต้นฉบับเต็มด้วย ซึ่งเรียกว่าเป็นแบบ Full Text อย่างไรก็ตาม การใช้ซีดีรอมนั้น มีปัญหาในเรื่อง ความสมบูรณ์ และทันสมัยของเนื้อหา ดังนั้นนักวิจัยหลายคน จึงนิยมใช้การค้นแบบออนไลน์มากกว่า แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
5. อินเทอร์เน็ต แหล่งสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็คืออินเทอร์เน็ต นั่นเป็นเพราะหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย สำนักข่าวสาร และสมาคมวิชาชีพ ต่างก็จัดทำข้อมูลประชาสัมพันธ์ ออกมาเผยแพร่ เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น ยังนำบทความวิชาการ ออกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตด้วย แต่หากเป็นบทความ ที่ตีพิมพ์ในวารสารแล้ว หลายแห่งไม่ได้เปิดให้อ่านทั่วไป ผู้สนใจอ่าน จะต้องเสียเงินค่าสมาชิกก่อน จึงจะได้รหัสผ่าน สำหรับเปิดแฟ้มข้อมูล บทความวิชาการอ่าน การที่ระบบอินเตอร์เน็ต มีข้อมูลข่าวสารมหาศาลเช่นนี้ ทำให้สะดวกแก่นักวิจัยมาก และทำให้มีปัญหาน่าคิดว่า ศูนย์สารสนเทศ หรือศูนย์บริการสารสนเทศ ยังจะมีความเข้มแข็งทางการเงิน พอที่จะดำเนินการ สืบต่อไปได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ข้อที่นักวิจัยควรทราบก็คือ วงการวิชาการนั้น ยังไม่เชื่อถือบทความ หรือข่าวสารที่ได้รับ ผ่านอินเทอร์เน็ตมากนัก เพราะบทความ ที่นำออกมาเผยแพร่นั้น อาจจะยังไม่ได้รับการตรวจสอบ โดยผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ หากด่วนคิดที่นำออกเผยแพร่ โดยไม่พิจารณาให้ดี อาจทำให้งานวิจัยของเราเสียหายได้
ความรู้ความสามารถในด้านการจัดประชุม
26. การประชุม หมายถึง
ตอบ การที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาพบกันตามนัดหมาย เพื่อร่วมกันคิดอย่างมีวัตถุประสงค์และระเบียบวิธี ณ สถานที่หนึ่งตามเวลาที่กำหนด
27. จงอธิบายวัตถุประสงค์ของการประชุม
ตอบ
1. เพื่อชี้แจง ทำความเข้าใจกันในการปฏิบัติงานของบุคลากรฝ่ายต่าง ๆ ในหน่วยงาน
2. เพื่อให้มีการเจรจาตกลงใจหรือตัดสินใจร่วมกัน โดยอาศัยข้อมูลจากสมาชิก
3.เพื่อกำหนดนโยบาย การวางแผน และหาแนวทางปฏิบัติงาน
4.เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ประสบการณ์และข่าวสารข้อเท็จจริงต่าง ๆ
5. เพื่อระดมความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
6. เพื่อประหยัดเวลาในการวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหาร
7. เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่สมาชิก
8. เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความเข้าใจอันดีระหว่างบุคลากรในหน่วยงาน
28. องค์ประกอบของการประชุม ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ตอบ
1.ระเบียบวาระการประชุม คือ การกำหนดหัวข้อเรื่องที่จะพิจารณาร่วมกันในที่ประชุม
2.จดหมายเชิญประชุม คือ หนังสือแจ้งผู้ที่ต้องเข้าร่วมประชุมและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
3.ประธานที่ประชุม คือ ผู้นำการประชุม
4. องค์ประชุม คือ สมาชิกผู้มีหน้าที่เข้าประชุม
5.ผู้เข้าร่วมประชุม คือ ผู้เข้าประชุมเฉพาะกิจ
6.ครบองค์ประชุม คือ มีสมาชิก 2/3 ของจำนวนทั้งหมด ถ้าต่ำกว่ามติที่ได้ถือเป็นโมฆะ
7. เลขานุการ คือ ผู้จดรายงานการประชุม
8. ญัตติ คือ เรื่องที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา
9.แปรญัตติ คือ การเสนอซ้อนขึ้นในญัตติ แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมญัตตินั้น ๆ
10.มติ คือ ข้อตกลงที่ถือเป็นข้อยุติของที่ประชุม
11.รายงานการประชุม คือ ข้อความที่เลขานุการจดบันทึกความคิดเห็นของที่ประชุม
29. ผู้จัดการประชุมจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องใด จงอธิบาย
ตอบ ในการจัดการประชุมแต่ละครั้งผู้จัดการประชุมควรพิจารณาเลือกรูปแบบของการประชุมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประชุม เพื่อให้การประชุมนั้นมีประสิทธิผล และผู้เข้าร่วมประชุมรู้จัก
บทบาทหน้าที่ของตนได้ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้น ผู้จัดการประชุม จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง
รูปแบบของการประชุม ซึ่งรูปแบบของการประชุมนั้นแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบ และในที่นี้ได้แบ่งรูปแบบของการประชุมออกเป็น 2 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1.การแบ่งรูปแบบของการประชุมโดยการเน้นตามวัตถุประสงค์ของการประชุ
2.การแบ่งรูปแบบของการประชุมโดยการเน้นตามวิธีการจัดการประชุม
30. รูปแบบการประชุมมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง
ตอบ 1. รูปแบบการประชุมที่เน้นตามวัตถุประสงค์ของการประชุม
1.1 การประชุมเพื่อให้ข่าวสาร เป็นการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้ข้อมูล
และข้อเท็จจริง เพื่อให้มีการตัดสินใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนโยบาย
1.2 การประชุมเพื่อให้เหตุผล เป็นการประชุมระดับสูงเพื่อให้เหตุผลในการตัดสินใจบางอย่างที่ส่งผลมากระทบต่อผู้ปฏิบัติ
1.3 การประชุมเพื่อวางแผนกลยุทธ์ เป็นการประชุมเพื่อการวางแผนการปฏิบัติงาน
1.4 การประชุมเพื่อแก้ปัญหาและตัดสินใจ เป็นการประชุมที่ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อการแก้ปัญหาแต่ละวัน
2. รูปแบบการประชุมที่เน้นตามวิธีการจัดการประชุม
2.1 การประชุมใหญ่ (Convention) เป็นการประชุมที่ต้องการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ในด้านวิชาการและด้านการเมือง เพื่อปรึกษาหารือปรับปรุงหาแนวทางใหม่ ๆ
2.2 การประชุมปรึกษาหารือ (Conference) เป็นการประชุมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ผู้เข้าร่วมประชุมสนใจในปัญหาร่วมกัน ขนาดของการประชุมจะเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่แล้วแต่จำนวนสมาชิก
2.3 การประชุมสัมมนา (Seminar) เป็นการประชุมที่ดำเนินการอย่างเป็นทางการและได้กำหนดแบบแผนที่แน่นอน มีคณะผู้รับผิดชอบดำเนินการ มีหัวข้อเรื่องชัดเจน มีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมสัมมนา บรรยาย หรืออภิปรายเสนอผลงานในรูปแบบต่าง ๆ
2.4 การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เป็นการประชุมวิชาการ และการทำงานร่วมกัน โดยสมาชิกจะเป็นกลุ่มที่สนใจปัญหาคล้าย ๆ กันมาร่วมกันปรึกษาหาวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการลงมือปฏิบัติงานด้วยกัน
2.5 การอภิปราย (Discussion) เป็นการประชุมที่มีสมาชิกตั้งแต่สองคนหรือมากกว่าสองคนพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อพิจารณาหัวข้อที่สนใจร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิดเห็น ค้นหาทางเลือกในการแก้ปัญหาหรือวางแผนปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิผล
2.6 การบรรยาย (Lecture) เป็นการบรรยายของวิทยากรเพียงคนเดียว เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด นโยบายหรือการแสดงเหตุผลและสิ่งที่น่าสนใจประกอบการบรรยาย วิทยากรจะต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงในเรื่องที่พูด มีการกำหนดขอบข่ายของเรื่องที่จะบรรยายและคำนึงถึงพื้นฐานของผู้ฟัง เพื่อรับรู้และเข้าใจเรื่องราวที่ฟังได้ถูกต้อง
2.7 การประชุมแบบซินดิเกต (Syndicate) เป็นการประชุมเพื่อแถลงปัญหาข้อมูลแต่ละหน่วยงาน โดยผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ นำเอาปัญหาอุปสรรคมาร่วมประชุมกันเพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหาร่วมกัน
2.8 การประชุมทางไกล (Tele Conference) เป็นการประชุมโดยใช้เครือข่ายดาวเทียมหรือทางโทรศัพท์ โดยสมาชิกจะอยู่กันคนละสถานที่
31. คำศัพท์การประชุม มีอะไรบ้าง
ตอบ การประชุมจะตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษหลายคำ ซึ่งเรียกต่างกันตามจุดมุ่งหมาย ดังต่อไปนี้
1.Meeting เป็นการประชุมที่เกิดขึ้นในสำนักงานหรือบริษัทต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีจำนวนคนไม่มากนัก และถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานตามปกติ อาจจะเป็นการประชุมระดับผู้บริหารด้วยกัน หรือการประชุมระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง หรือการประชุมกับลูกค้าก็ได้
2.Convention เป็นการประชุมของคนจำนวนมาก โดยมากจะเป็นการประชุมระดับชาติหรือนานาชาติ ผู้เข้าร่วมอาจเป็นผู้บรรยายหรือผู้เข้าฟังก็ได้
3.Conference เป็นการประชุมวิชาการ เพื่อให้ผู้ที่มีความรู้ และประสบการณ์ในสาขาเดียวกันได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ
4.Summit เป็นการประชุมผู้นำระดับสูงของประเทศ เพื่อที่จะมาทำความตกลงเกี่ยวกับประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหลายประเทศ
5.Congress เป็นการประชุมขนาดใหญ่ซึ่งจัดเป็นประจำ ผู้เข้าร่วมประชุมมักมาจากทั่วประเทศหรือทั่วโลกและเป็นผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง
6.Gathering เป็นการประชุมพบปะสังสรรค์อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อความสนุกสนานรื่นเริงในหมู่ญาติหรือผู้ที่คุ้นเคยกัน
7.Assembly เป็นการประชุมคณะบุคคล ซึ่งเรียกว่าสภาหรือสมัชชา ทำหน้าที่สำคัญระดับรัฐหรือระดับชาติ
8.Panel เป็นการประชุมคณะกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษและได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ซักถามหรือให้คำแนะนำต่าง ๆ
32. การประชุมที่ดีต้องมีลักษณะอย่างไร
ตอบ
1. สมาชิกรู้ระเบียบ กฎ กติกา มารยาทของการประชุม
2. สมาชิกมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
3. สมาชิกทราบวัตถุประสงค์ของการประชุม
4.มีการให้ข้อเท็จจริงและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างทั่วถึง
5.ผู้นำการประชุมมีความสามารถดี
6.สมาชิกกลุ่มเป็นนักฟังที่ดีและเข้าใจผู้อื่นได้ดี
7.สมาชิกระดมความคิดแก้ปัญหากันอย่างจริงจัง
8. ผลหรือมติของที่ประชุมต้องเป็นความคิดเห็นของกลุ่ม
ทัศนคติต่อการบริการด้านงานวิจัย
33. คุณสมบัติของนักวิจัยที่ดีมีอะไรบ้าง
ตอบ นักวิจัยที่ดีคือผู้ที่รู้เนื้อหาที่จะวิจัยอย่างดี รู้วิธีการวิจัย มีจรรยาบรรณและความซื่อสัตย์ในการทำวิจัย มีความคิดที่กระจ่าง ชัดเจน เป็นระบบ มีขั้นตอน และมีความสามารถในการสื่อความหมายที่กระชับ ชัดเจน ถูกต้อง (precise) ตรงเวลา และตัดสินใจเป็น
เนื่องจากงานวิจัยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซึ่งกระทำได้ไม่ง่ายนัก นักวิจัยจึงควรมีคุณลักษณะบางประการในการดำเนินการวิจัยเพื่อให้ผลของการวิจัยถูกต้อง น่าเชื่อถือ ดังนี้
คุณลักษณะประการแรก คือ การมีความสงสัย หรือเป็นผู้ที่มีแนวความคิดในการไม่เชื่อสิ่งต่างๆ ง่ายๆ จำเป็นต้องมีหลักฐานและมีเหตุผล อันนี้จะตรงกันข้ามกับคนบางจำพวกที่มีความเชื่อเป็นตัวตั้ง และสามารถจะเชื่อสิ่งต่างๆ ได้ง่าย นักวิจัยจำเป็นจะต้องพิจารณาสิ่งต่างๆ โดยมีวิจารณญาณ ฟังหูไว้หู เมื่อมีสิ่งใดใหม่ก็ต้องพิจารณาด้วยเหตุผลให้ถ่องแท้ก่อนจึงจะเชื่อ
คุณลักษณะประการที่สอง ที่มาประกอบกับลักษณะดังกล่าว คือ การมีวิจารณญาณ นักวิจัยจะต้องมีความสามารถในการใช้เหตุผล ความสามารถในการไตร่ตรองเพื่อจะพิจารณาแยกแยะสิ่งที่ควรเชื่อกับสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ สิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในการใช้วิจารณญาณนั้นจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในแต่ละเรื่องที่พิจารณาและมีความสามารถในการใช้เหตุผลไตร่ตรอง ทั้งในเชิงตรรกวิทยาและในเชิงของวิธีใช้ความคิดด้านอื่นๆ
คุณลักษณะประการที่สาม คือ การมีใจกว้าง ไม่ยึดมั่นในความคิดของตนเองว่าต้องถูกเสมอไป จะต้องเป็นผู้ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นหรือข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมและหากหลักฐานนั้นเป็นที่เชื่อถือได้ มีเหตุผลเพียงพอ ก็ไม่มีทิฐิที่จะยึดความเชื่อเดิม มีความสามารถที่จะยอมเปลี่ยนแนวความคิดของตนเองได้ ความเป็นผู้มีใจกว้างนี้จะต้องครอบคลุมไปถึงความสามารถในการรับฟังความเห็นผู้อื่น ตลอดจนความสามารถที่จะได้ความคิดเห็นในสิ่งต่างๆ โดยปราศจากอคติ หรือมีอคติน้อยที่สุด
คุณลักษณะประการที่สี่ คือ ความเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ การวิจัยมิใช่เป็นการเก็บข้อมูลเท่านั้น แต่เป็นการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือแนวคิดใหม่ขึ้น ผู้วิจัยจะต้องสามารถเอาข้อมูลหรือสิ่งต่างๆ มาปะติดปะต่อวิเคราะห์ แล้วในที่สุดสังเคราะห์ขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือเป็นสิ่งที่จะขยายความสิ่งที่เรียกว่าเป็นความรู้หรือข้อเท็จจริงได้
ในการริเริ่มสร้างสรรค์นี้ จำเป็นต้นอาศัยความสามารถที่จะคิดอย่างต่อเนื่อง สามารถจะกระทำอย่างต่อเนื่องโดยเป้าหมายที่ชัดเจน จะต้องไม่มีลักษณะของการจับจดหรือทำสิ่งหนึ่งยังไม่ทันเสร็จก็จับอีก สิ่งหนึ่ง อย่างนี้ก็จะไม่สามารถทำการวิจัยได้สำเร็จ จำเป็นจะต้องยึดกับสิ่งที่กระทำไปจนสำเร็จตามเป้าหมาย
คุณลักษณะประการที่ห้า คือ ความเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลตลอดจนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้อยู่ในรูปที่ปราศจากอคติ ไม่พยายามผันแปรข้อมูลเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น จะต้องมุ่งมั่นที่จะได้ความจริงของธรรมชาติโดยแท้จริง จำเป็นที่จะต้องพูดหรือกระทำโดยยึดความจริงของธรรมชาติอย่างแท้จริง จำเป็นที่จะต้องพูดหรือกระทำโดยมีความซื่อสัตย์
คุณลักษณะประการที่หก คือ ความเป็นผู้มีความขยัน หมั่นเพียร มีความมานะอุตสาหะที่จะดำเนินการจนเป็นผลสำเร็จได้ เพราะว่าการวิจัยมักจำเป็นต้องใช้ความพยายาม ในบางกรณีต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเป็นพิเศษ จึงจะสามารถให้ได้ข้อเท็จที่ถูกต้องยิ่งขึ้น การพยายามน้อยอาจจะทำให้ข้อเท็จจริงที่ได้มีความคลาดเคลื่อนมากเกินไปก็ได้ การที่ผู้วิจัยจะต้องเป็นผู้มีความมานะอุตสาหะนี้อาจจะขยายความไปถึงความเป็นผู้ที่มีความละเอียดลออ ต้องทำงานโดยละมุนละม่อม มีความละเอียดในการสังเกต ใช้สายตา ใช้มืออย่างละเอียดถี่ถ้วน ตลอดจนถึงความคิดที่ละเอียด มองทุกแง่ทุกมุม ไม่ทำหรือคิดอย่างหยาบแล้วทิ้ง รายละเอียดบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์ไป
คุณลักษณะประการสุดท้าย ผู้วิจัยควรเป็นผู้ที่มีความสุขกับการทำงาน เป็นผู้ที่เกิดปีติจากการที่ได้ทำการศึกษาและค้นพบ การที่ “ตถตา” มีความหมายว่า “มันเป็นเช่นนั้นโว้ย” เป็นอุทานแสดงว่าเกิดความพอใจขึ้นจากการค้นพบ เช่น อาคีเมดีส มีความตื่นเต้นและดีใจ เมื่อสามารถค้นหาวิธีใหม่ในการวัดปริมาตรได้ สภาพของความปีติที่เกิดขึ้นจากการค้นพบนี้ เป็นลักษณะพิเศษของนักค้นคว้าหรือนักวิจัยทั้งหลาย
34. จรรยาบรรณนักวิจัย หมายถึงอะไร
ตอบ จรรยาบรรณนักวิจัย หมายถึง หลักเกณฑ์ควรประพฤติปฏิบัติของนักวิจัยโดยทั่วไป เพื่อให้การดำเนินงานตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ตลอดจนประกันมาตรฐานของการศึกษา ค้นคว้าให้เป็นไปอย่างสมศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของนักวิจัย
จรรยาบรรณในการวิจัยเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระเบียบวิธีวิจัย เนื่องด้วยในกระบวนการค้นคว้าวิจัย นักวิจัยจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสิ่งที่ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต การวิจัยจึงอาจส่งผลกระจายในทางลบต่อสิ่งที่ศึกษาได้ หากผู้วิจัยขาดความรอบคอบระมัดระวัง
35. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้กำหนด “จรรยาบรรณนักวิจัย” ไว้กี่ประการ อะไรบ้าง
ตอบ 9 ประการเพื่อเป็นแนวทางสำหรับนักวิจัยยึดถือปฏิบัติ อันจะทำให้การดำเนินงานวิจัยตั้งอยู่บนพื้นฐานของ จริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม ดังนี้
1. นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
นักวิจัยต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ลอกเลียนงานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติ และอ้างถึงบุคคลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาใช้ในงานวิจัย ต้องซื่อตรงต่อการแสวงหาทุนวิจัย และมีความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย
2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำวิจัย ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัย และต่อหน่วยงานที่ตนสังกัด
นักวิจัยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อตกลงการวิจัยที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน อุทิศเวลาทำงานวิจัยให้ได้ผลดีที่สุดและเป็นไปตามกำหนดเวลา มีความรับผิดชอบ ไม่ละทิ้งงานระหว่างดำเนินการ
3. นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำการวิจัย
นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาที่ทำวิจัยอย่างเพียงพอ และมีความรู้ ความชำนาญ หรือมีประสบการณ์เกี่ยวเนื่องกับเรื่องที่ทำวิจัย เพื่อนำไปสู่งานวิจัยที่มีคุณภาพ และเพื่อป้องกันปัญหาการวิเคราะห์ การตีความ หรือการสรุปที่ผิดพลาด อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่องานวิจัย
4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
นักวิจัยต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และเที่ยงตรงในการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ พืช ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม มีจิตสำนึกและมีปณิธานที่จะอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
5. นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย
นักวิจัยต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนละเลยและขาดความเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ ต้องถือเป็นภาระหน้าที่ที่จะอธิบายจุดมุ่งหมายของการวิจัยแก่บุคคลที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยไม่ หลอกลวงหรือบีบบังคับ และไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
6. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด โดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย
นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด ต้องตระหนักว่า อคติส่วนตน หรือความลำเอียงทางวิชาการ อาจส่งผลให้มีการบิดเบือนข้อมูลและข้อค้นพบทางวิชาการ อันเป็นเหตุให้เกิดผลเสียหายต่องานวิจัย
7. นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ
นักวิจัยพึงเผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางวิชาการและสังคม ไม่ขยายผลข้อค้นพบจนเกินความเป็นจริง และไม่ใช้ผลงานวิจัยไปในทางมิชอบ
8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น
นักวิจัยพึงมีใจกว้าง พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลและขั้นตอนการวิจัย ยอมรับฟังความคิดเห็นและเหตุผลทางวิชาการของผู้อื่น และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขงานวิจัยของตนให้ถูกต้อง
9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ
นักวิจัยพึงมีจิตสำนึกที่จะอุทิศกำลังสติปัญญาในการทำวิจัย เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ เพื่อความเจริญและประโยชน์สุขของสังคมและมวลมนุษยชาติ